เมนู

ที่ตถาคตอาศัยปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหม-
จักรในบริษัท.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตประกอบด้วยกำลังเหล่าใด ปฏิญาณ
ฐานะของผู้เป็นโจก บันลือสีหนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท กำลัง
ของตถาคตเหล่านั้น 10 ประการนี้แล.
จบสีหสูตรที่ 1

มหาวรรคที่ 3


อรรถกถาสีหสูตรที่ 1


วรรคที่ 3

สีหสูตรที่ 1 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า วิสมคเต ได้แก่ ผู้ไปในที่หาเหยื่ออันไม่ราบเรียบ. บทว่า
สงฺฆาตํ อาปาเทสึ แปลว่า ให้ถึงฆาต คือการถูกฆ่า. จริงอยู่ ราชสีห์
นั้น มีความเอ็นดูในหมู่สัตว์เล็กๆ เพราะคนมีอำนาจมาก. เพราะฉะนั้น
จึงคิดว่าหมู่สัตว์เหล่าใด อาจตั้งอยู่ในฐานะเป็นศัตรู จำต้องฆ่าหมู่สัตว์
เหล่านั้นเสีย หมู่สัตว์เหล่าใดอ่อนกำลัง ประสงค์จะหนี หมู่สัตว์เหล่านั้น
ก็จักหนีไปเสีย จึงบันลือสีหนาทแล้วออกไปล่าเหยื่อ. บทว่า ตถาคตสฺเสตํ
อธิวจนํ ความว่า ก็ผิว่าพระตถาคตชื่อว่า สีหะ. เพราะทรงอดทนอย่าง
หนึ่ง เพราะทรงฆ่าอย่างหนึ่ง จึงทรงอดทนอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์
ทุกอย่าง และทรงฆ่าเสีย ด้วยทรงย่ำยีวาทะของเหล่าผู้มีวาทะเป็นข้าศึก
ทุกคน. บทว่า อิทนสฺส โหติ สีหนาทสฺมึ ได้แก่ นี้เป็นสีหนาท
คือ การบันลือที่ไม่มีความกลัวของพระตถาคตนั้น.

บทว่า ตถาคตสฺส ตถาคตพลานิ ได้แก่ เป็นกำลังของพระตถาคต
เท่านั้น ไม่ทั่วไปกับคนอื่น ๆ. อธิบายว่า พละของพระพุทธเจ้าแต่ปาง
ก่อนทั้งหลายมาแล้วโดยสมบัติ คือบุญแลยศฉันใด แม้พละของพระ-
ตถาคตก็ฉันนั้น ดังนี้. ในคำว่า ตถาคตสฺส พลานิ นี้ กำลังมี 2 อย่าง
คือกำลังพระวรกาย 1 กำลังพระญาณ 1 ในกำลัง 2 อย่างนั้น กำลัง
พระวรกายพึงทราบโดยการเทียบตระกูลช้าง. สมจริงที่พระโบราณจารย์
ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า
กาฬาวกญฺจ คงฺเคยฺยํ ปณฺฑรํ ตมฺพปิงฺคลํ
คนฺธมงฺคลเหมญฺจ อุโปสถจฺฉทฺทนฺติเม.
ตระกูลช้างเหล่านี้ คือ กาฬาวกะ 2 คังเคยยะ 1
ปัณฑระ 1 ตัมพะ 1 ปิงคละ 1 คันธะ 1 มังคละ 1
เหมะ 1 อุโปสถะ 1 ฉัททันตะ 1

รวมช้าง 10 ตระกูลเหล่านี้ บรรดาตระกูลช้างเหล่านั้น
ช้างกาฬาวกะ พึงเห็นว่าเป็นตระกูลช้างธรรมดา ๆ. กำลังกายบุรุษ 10
คน เท่ากันกำลังช้างตระกูลกาฬาวกะ 1 เชือก กำลังกายของช้างตระกูล
กาฬาวกะ 10 เชือก เท่ากับกำลังกายช้างตระกูลคังเคยยะ 1 เชือก กำลัง
กายของช้างตระกูลคังเคยยะ 10 เชือก เท่ากับกำลังกายของช้างตระกูล
ปัณฑระ 1 เชือก กำลังกายของช้างตระกูลปัณฑระ 10 เชือก เท่ากับ
กำลังกายของช้างตระกูลตัมพะ 1 เชือก กำลังกายของช้างตระกูลตัมพะ
10 เชือก เท่ากับกำลังกายของช้างตระกูลปิงคละ 1 เชือก กำลังกายของ
ช้างตระกูลปิงคละ 10 เชือก เท่ากับกำลังกายของช้างตระกูลคันธะ 1 เชือก
กำลังของช้างตระกูลคันธะ 10 เชือก เท่ากับกำลังของช้างตระกูล

มังคละ 1 เชือก กำลังกายของช้างตระกูลมังคละ 10 เชือก เท่ากับกำลัง
กายของช้างตระกูลเหมาะ 1 เชือก กำลังกายของช้างตระกูลเหมะ 10 เชือก
เท่ากับกำลังกายของช้างตระกูลอุโบสถะ 1 เชือก กำลังกายของช้างตระกูล
อุโบสถะ 10 เชือก เท่ากับกำลังกายของช้างตระกูลฉันทันตะ 1 เชือก
กำลังกายของช้างตระกูลฉันทันตะ 10 เชือก เท่ากับกำลังพระวรกายของ
พระตถาคตพระองค์เดียว กำลังพระวรกายของพระตถาคตนี้เรียกว่า กำลัง
นารายณ์ดังนี้ก็มี กำลังพระวรกายของพระตถาคตนี้นั้น เมื่อเทียบช้าง
ธรรมดา ๆ ก็เท่ากับกำลังช้าง 1 พันโกฏิ. เมื่อเทียบบุรุษ ก็เท่ากับกำลัง
บุรุษ 1 หมื่นโกฏิ นี้เป็นกำลังพระวรกายของพระตถาคตก่อน.
พึงทราบกำลังพระญาณที่มาในบาลีก่อน พระทศพลญาณมาใน
คัมภีร์มัชฌิมนิกาย จตุเวสารัชชญาณ อกัมปนญาณในบริษัท 8 จตุโยนิ-
ปริจเฉทญาณ ปัญจคติปริจเฉทญาณ ญาณ 73 ญาณ 77 ซึ่งมาใน
คัมภีร์สังยุตตนิกาย รวมญาณดังกล่าวนี้ ญาณหลายพันอย่างอื่นอีก. นี้
ชื่อว่า กำลังพระญาณ. แม้ในสูตรนี้ ท่านก็ประสงค์เอากำลังพระญาณ
เท่านั้น. จริงอยู่ พระญาณท่านเรียกว่า พละ เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหว
และเพราะอรรถว่าอุปถัมภ์.
บทว่า อาสภณฺฐานํ ได้แก่ ฐานะอันประเสริฐสุด คือ ฐานะอัน
สูงสุด. อีกอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าในปางก่อนทั้งหลาย ชื่อว่า อาสภะ.
อธิบายว่า ฐานะของอาสภะ พระพุทธเจ้าปางก่อนเหล่านั้น. อีกนัยหนึ่ง
โคจ่าฝูง 100 ตัว ชื่อว่า อุสภะ โคจ่าฝูง 1,000 ตัว ชื่อว่า อาสภะ หรือ
ว่า โคจ่าฝูง 100 ดอก ชื่อว่า อุสภะ โคจ่าฝูง 1,000 คอก ชื่อว่า อาสภะ
โคตัวประเสริฐสุดแห่งโคทั้งหมด ทนอันตรายได้ทุกอย่าง สีขาว ผึ่งผาย

ลากเข็ญของหมักมากได้แม้ถูกเสียงฟ้าร้อง 100 ครั้ง ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน
ชื่อว่า นิสภะ โคนิสภะนั้น ท่านประสงค์เอาว่า โคอุสภะในสูตรนี้. ก็คำนี้
เป็นคำบรรยายของคำว่า อุสภะนั้น. บทว่า อุสภสฺส อิทํ ได้แก ่อาสภะ.
บทว่า ฐานํ ได้แก่ ที่ที่โคอาสภะยืนเอาเท้าทั้ง 4 เหยีบลงแผ่นดิน. ก็ที่นี้
เป็นเหมือนลาสภะ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อาสภะ (ที่ยืนอย่างองอาจ)
เพราะเปรียบเหมืนโคอุสภะ ที่นับได้ว่า โคนิสภะ ประกอบด้วยกำลังของ
โคอุสภะ เอาเท้าทั้ง 4 ยืนเหยียบ ณ ที่ยืนโดยไม่ไหวติง ฉันใด แม้
พระตถาคต ทรงประกอบด้วยกำลังของพระตถาคต 10 ประการ ทรง
เหยียบแผ่นดินคือบริษัท 8 อันศัตรูหมู่ปัจจามิตรไร ๆ ทำให้หวั่นไหว
ไม่ได้ ก็ทรงยืน ณ ที่อันมั่นคงฉันนั้น เมื่อทรงยืนอย่างนั้น ก็ทรงปฏิญาณ
เข้าถึง ไม่บอกคืนฐานะอันสูงสุดที่มีในพระองค์ ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า
อาสภณฺฐานํ ปฏิชานาติ ปฏิญาณฐานะอันสูงสุดดังนี้.
บทว่า ปริสาสุ ได้แก่ในบริษัท 8 คือ ขัตติยบริษัท พราหมณ-
บริษัท คหบดีบริษัท สมณบริษัท จาตุมหาราชิกบริษัท ดาวดึงส์บริษัท
มารบริษัท และพรหมบริษัท. บทว่า สีหนาทํ นทติ แปลว่า บันลือ
การบันลืออันประเสริฐสุด บันลือการบันลือของบุคคลผู้ไม่มีความกลัว
หรือบันลือการบันลือ เสมือนการบันลือของราชสีห์. ในข้อนั้นมีอุปมาดังนี้
ราชสีห์ประกอบด้วยกำลังของราชสีห์ แกล้วกล้าในที่ทุกแห่ง ปราศจาก
ขนพอง ย่อมบันลือสีหนาทฉันใด แม้ราชสีห์คือพระตถาคต ทรง
ประกอบด้วยกำลังของพระตถาคต ทรงแกล้วกล้าในพิษทั้ง 8 ปราศ-
จากขนพอง ทรงบันลือสีหนาท อันพรั่งพร้อมด้วยความงามแห่งเทศนา
นานาวิธี โดยนัยว่าดังนี้ สักกายะเป็นต้นก็ฉันนั้น ด้วยเหตุนั้น

จึงตรัสว่า ปริสาสุ สีหนาทํ นทติ บันลือสีหนาทในบริษัททั้งหลาย
ดังนี้.
ก็ในคำว่า พฺรหฺมจกฺกํ ปวตฺเตติ นี้ คำว่า พฺรหฺมํ แปลว่า ประเสริฐ
สุด สูงสุด วิเศษสุด. คำว่า จกฺกํ ได้แก่ธรรมจักร. ก็ธรรมจักรนี้นั้น
มี 2 อย่าง คือ ปฏิเวธญาณ 1 เทศนาญาณ 1. ใน 2 อย่างนั้น
ธรรมจักรที่พระปัญญาอบรมนำอริยผลมาให้พระองค์ ชื่อว่า ปฏิเวธญาณ
ธรรมจักรที่พระกรุณาอบรม นำอริยผลมาให้พระสาวกทั้งหลาย ชื่อว่า
เทศนาญาถเ. ในญาณทั้งสองนั้น ปฏิเวธญาณมี 2 คือ ที่กำลังเกิด ที่
เกิดแล้ว จริงอยู่ ปฏิเวธญาณนั้น ชื่อว่ากำลังเกิดตั้งแต่เสด็จออกทรง
ผนวชจนถึงพระอรหัตมรรค ชื่อว่าเกิดแล้วในขณะแห่งผลจิต หรือว่า
ชื่อว่ากำลังเกิดตั้งแต่ภพดุสิตจนถึงพระอรหัตมรรค ณ โพธิบัลลังก์ ชื่อว่า
เกิดแล้วในขณะแห่งผลจิต หรือว่า ชื่อว่ากำลังเกิด จำเดิมแต่ตั้งความ
ปรารถนา ณ เบื้องพระบาทแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร จนถึง
ทรงบรรลุพระอรหัตมรรค ชื่อว่าเกิดแล้ว ในขณะแห่งผลจิต. ฝ่ายเทศนา
ญาณก็มี 2 คือ ที่กำลังเป็นไป ที่เป็นไปแล้ว. จริงอยู่ เทศนาญาณนั้น
ชื่อว่ากำลังเป็นไปจนถึงโสดาปัตติมรรคของพระอัญญาโกณฑัญญะ ชื่อว่า
เป็นไปแล้วในขณะแห่งผลจิต [โสดาปัตติผล] . ก็ในญาณทั้ง 2 นั้น ปฏิเวธ-
ญาณที่เกิดแล้วเป็นโลกุตระ เทศนาญาณที่เป็นไปแล้วเป็นโลกิยะ แม้ญาณ
ทั้ง 2 นั้น ไม่ทั่วไปแก่สาวกอื่น ๆ เป็นญานที่เกิดอยู่ในพระองค์ของพระ-
พุทธะทั้งหลายเท่านั้น.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงโดยพิสดาร ถึงพระพละที่พระตถาคตทรง
ประกอบแล้ว ทรงปฏิญาณฐานะอันสูงสุด จึงตรัสว่า กตมานิ ทส อิธ
ภิกฺขเว ตถาคโต ฐานญฺจ ฐานโต
เป็นอาทิ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า

ฐานญฺจ ฐานโต ได้แก่ เหตุโดยความเป็นเหตุ. จริงอยู่ เพราะเหตุที่ผล
ตั้งอยู่ เกิดและเป็นไปในเหตุนั้น เพราะเป็นไปเนื่องด้วยเหตุนั้น ฉะนั้น
เหตุท่านจึงเรียกว่าฐานะ. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงทราบเหตุนั้น ๆ
ว่าฐานะ เพราะธรรมที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งธรรมเกิดขึ้น ทรงทราบ
เหตุนั้น ๆ ว่าอาฐานะ เพราะธรรมที่ไม่เป็นเหตุไม่เป็นปัจจัยแห่งธรรม
เกิดขึ้น ชื่อว่าทรงทราบฐานะโดยเป็นฐานะ อฐานะโดยเป็นอฐานะ ตาม
เป็นจริง. แต่ในอภิธรรม คำนี้ท่านกล่าวไว้พิสดารแล้ว โดยนัยเป็นต้น
ว่า มรรคญาณเหล่านั้น ญาณที่รู้ฐานะโดยเป็นฐานะ และรู้อฐานะโดย
เป็นอฐานะ ตามเป็นจริงของพระตถาคตเป็นไฉน ดังนี้. บทว่า ยมฺปิ
แปลว่า ด้วยญาณใด. บทว่า อิทมฺปิ ภิกฺขเว ตถาคตสฺส ความว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ฐานาฐานญาณแม้นี้ ย่อมชื่อว่าตถาคตพละของตถาคต.
พึงทราบการประกอบความในบททั้งปวงด้วยประการอย่างนี้.
บทว่า กมฺมสมาทานานํ ได้แก่ ของกุศลกรรมและอกุศลกรรม
ที่บุคคลยึดถือกระทำแล้ว อีกอย่างหนึ่งกรรมนั้นแล ชื่อว่ากรรสมาทาน.
บทว่า ฐานโส เหตุโส แปลว่า โดยความเป็นปัจจัย และโดยความ
เป็นเหตุ. ก็ในกรรมสมาทานนั้น กถากล่าวถึงญาณนี้โดยพิสดารว่า
กรรมเป็นเหตุแห่งวิบาก เพราะคติ อุปธิ กาลและปโยคะ มาแล้วใน
อภิธรรม โดยนัยเป็นต้นว่า กรรมสมาทานฝ่ายอกุศลบางเหล่ามีอยู่ ห้าม
คติสมบัติ จึงไม่ให้วิบาก.
บทว่า สพฺพตฺถคามินึ ได้แก่ ที่ให้ถึงคติทั้งปวง และที่ไม่ให้ถึง
คติ. บทว่า ปฏิปทํ ได้แก่ มรรค. บทว่า ยถาภูตํ ปชานาติ ความว่า
เมื่อมนุษย์แม้เป็นอันมาก ฆ่าสัตว์ตัวเดียวเท่านั้น เขาย่อมรู้ชัดถึงสภาพ

ของการปฏิบัติทั้งหลาย กล่าวคือกุศลเจตนาและอกุศลเจตนา ในวัตถุ
อันเดียวกันโดยไม่ผิด ตามนัยนี้ว่าผู้นี้จักมีเจตนาไปนรก ผู้นี้จักมีเจตนา
ไปกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน. อนึ่งกถากล่าวถึงญาณนี้โดยพิสดารมาแล้วใน
อภิธรรมเหมือนกัน โดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาญาณเหล่านั้น ญาณที่รู้
ปฏิปทาไปในคติทั้งปวงตามเป็นจริงของตถาคตเป็นไฉน พระตถาคต
ในโลกนี้ ย่อมทรงรู้ชัดว่านี้มรรค นี้ไม่ใช่มรรค นี้ปฏิปทาที่ให้ไปนรก
ดังนี้.
บทว่า อเนกธาตุํ ได้แก่ ธาตุเป็นอันมาก โดยจักขุธาตุเป็นต้น
หรือโดยกามธาตุเป็นต้น. บทว่า นานาธาตุํ ได้แก่ ธาตุมีประการต่าง ๆ
เพราะกำหนดความต่างของธาตุเหล่านั้น. บทว่า โลกํ ได้แก่ โลกคือขันธ์
อายตนะและธาตุ. บทว่า ยถาภูติ ปชานาติ ได้แก่ ทรงแทงตลอดสภาพ
ของธาตุเหล่านั้นโดยไม่ผิด. แม้ญาณนี้ ท่านก็กล่าวไว้พิสดารแล้วใน
อภิธรรมโดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาญาณเหล่านั้น ญาณที่รู้ธาตุเป็นอันมาก
ธาตุต่าง ๆ โลกตามเป็นจริงของพระตถาคตเป็นไฉน. พระตถาคตใน
โลกนี้ ย่อมทรงรู้ชัดความเป็นต่าง ๆ แห่งขันธ์ ดังนี้.
บทว่า นานาธิมุตฺติกตํ ได้แก่ ความที่สัตว์ทั้งหลายมีอัธยาศัยต่าง ๆ
กัน โดยอัธยาศัยทั้งหลายมีอัธยาศัยเลวเป็นต้น. ญาณแม้นี้ ท่านกล่าวไว้
พิสดารแล้วในอภิธรรมโดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาญาณเหล่านั้น ญาณที่รู้
ความที่สัตว์ทั้งหลายมีอัธยาศัยต่าง ๆ กัน ตามเป็นจริงของพระตถาคตเป็น
ไฉน. พระตถาคตในโลกนี้ ย่อมทรงรู้ชัดว่า สัตว์ทั้งหลายมีอัธยาศัยเลว
มีอยู่ดังนี้.
บทว่า ปรสตฺตานํ ได้แก่สัตว์ที่มีอินทรีย์ดี. บทว่า ปรปุคฺคลานํ

ได้แก่ สัตว์ที่มีอินทรีย์เลวอื่นจากนั้น. อีกอย่างหนึ่ง สองบทนี้มีความ
อย่างเดียวกัน ตรัสเป็น 2 ส่วน ก็ด้วยอำนาจเวไนยสัตว์. บทว่า อินฺทฺริย-
ปโรปริยตฺตํ
ความว่า ความยิ่งและความหย่อน ความเจริญและความ
เสื่อมแห่งอินทรีย์ทั้งหลายมีสัทธินทรีย์เป็นต้น. กถากล่าวถึงญาณแม้นี้โดย
พิสดาร ก็มาในอภิธรรมเหมือนกันโดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาญาณเหล่านั้น
ญาณที่รู้ความที่สัตว์อื่น บุคคลอื่น มีอินทรีย์ยิ่งและหย่อนตามเป็นจริง
ของพระตถาคตนั้นเป็นไฉน. พระตถาคตในโลกนี้ ย่อมทรงรู้อาสยะ
อัธยาศัยดี ทรงรู้อนุสยะ อัธยาศัยเลวของสัตว์ทั้งหลายดังนี้.
บทว่า ฌานวิโมกฺขสมาธิสมาปตฺตีนํ ได้แก่ แห่งฌาน 4 มีปฐม-
ฌานเป็นต้น วิโมกข์ 8 มีว่า รูปี รูปานิ ปสฺสติ บุคคลผู้เจริญรูปฌาน
เห็นรูปทั้งหลายเป็นต้น สมาธิ 3 มีสมาธิที่มีวิตก ที่มีวิจารเป็นต้น และ
อนุปุพพวิหารสมาบัติ 9 มีปฐมฌานสมาบัติเป็นต้น. บทว่า สงฺกิเลสํ ได้
แก่ ธรรมฝ่ายเสื่อม. บทว่า โวทานํ ได้แก่ ธรรมฝ่าวิเศษ. บทว่า วุฏฺฐานํ
ได้แก่ แม้การออกจากสมาบัตินั้น ๆ ก็ชื่อว่าวุฏฐานะ ฌานที่คล่องแคล่ว
และภวังคจิต และผลสมาบัติ ท่านก็เรียกอย่างนั้น จริงอยู่ ฌานที่คล่อง
แคล่วชั้นต่ำ ๆ ย่อมเป็นปทัฏฐานของฌานชั้นสูง ๆ เพราะฉะนั้น แม้โวทาน
ท่านก็เรียกว่าวุฏฐานะ การออกจากฌานทั้งปวงย่อมมีด้วยภวังคจิต การ
ออกาจากนิโรธสมาบัติ ย่อมมีด้วยผลสมบัติ. ข้าพเจ้าหมายเอาข้อนั้น จึง
กล่าวว่า แม้การออกจากสมาบัตินั้น ๆ ชื่อว่า วุฏฐานะ. แม้ญาณนี้ท่านก็
กล่าวไว้พิสดารแล้วในอภิธรรม โดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาญาณเหล่านั้น
ญาณที่รู้ความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว การออกแห่งฌานวิโมกข์ สมาธิ
และสมาบัติตามเป็นจริงของพระตถาคตเป็นไฉน. บทว่า ฌายี ได้แก่ ผู้มี

ฌาน 4 มีความพิสดารในอภิธรรมโดยนัยเป็นต้นว่า ผู้มีฌานบางท่าน
แอบแนบสมาบัติที่มีอยู่นั่นแล ดังนี้. การวินิจฉัยในกถากล่าวถึงญาณ
ทั้งหลายโดยพิสดารว่า สพฺพวิปตฺติ เป็นต้น ก็กล่าวไว้แล้วในอรรถกถา-
คัมภีร์วิภังค์ [อภิธรรม] ชื่อว่า สัมโมหวิโนทนี. กถาที่ว่าด้วย ปุพเพ-
นิวาสานุสสติญาณและทิพพจักขุญาณ ก็กล่าวไว้พิสดารแล้วในคัมภีร์วิสุทธิ-
มรรค. กถาว่าด้วยอาสวักขยญาณ ก็กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.
ในเรื่องพระญาณของพระตถาคตนั้น มีคำตอบของพระปรวาทีว่า
ญาณแผนกหนึ่งที่ชื่อว่าทศพลญาณไม่มี. อันนี้ก็เป็นประเภทแห่งพระ-
สัพพัญญุตญาณนั่นเอง. คำนั้นไม่ควรเห็นอย่างนั้น. ด้วยว่า ทศพลญาณ
ก็ญาณหนึ่ง พระสัพพัญญุตญาณก็ญาณหนึ่ง. จริงอยู่ พระทศพลญาณ ก็รู้
เฉพาะกิจของตนๆ เท่านั้น พระสัพพัญญุตญาณ ย่อมรู้ทั้งกิจของตน ๆ
นั้น ทั้งกิจที่เหลือนอกจากของตนนั้น. ความจริงในพระทศพลญาณ
ทั้งหลาย พระญาณที่ 1 รู้เหตุและมิใช่เหตุ พระญาณที่ 2 รู้กรรม
อื่นและวิบากอื่น พระญาณที่ 3 รู้การกำหนดกรรม พระญาณที่ 4
ย่อมรู้เหตุแห่งความที่ธาตุเป็นต่าง ๆ กัน พระญาณที่ 5 ย่อมรู้อธิมุตติ
คืลอัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย พระญาณที่ 6 ย่อมรู้ความที่อินทรีย์ของสัตว์
ทั้งหลายว่าแก่และอ่อน พระญาณที่ 7 ย่อมรู้ความเศร้าหมองเป็นต้น
ของธรรมเป็นอาทิเหล่านั้น พร้อมกับญาณเป็นอาทิ พระญาณที่ 8 ย่อม
รู้สันตติความสืบต่อแห่งขันธ์ที่อยู่อาศัยในชาติก่อน ๆ พระญาณที่ 9 ย่อม
รู้จุติและปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย พระญาณที่ 10 ย่อมรู้กำหนดสัจจะ.
ส่วนพระสัพพัญญุตญาณ ย่อมรู้ข้อที่พระญาณเหล่านั้นควรรู้ และข้อที่
เกินไปกว่าพระญาณเหล่านั้น. ก็สัพพัญญุตญาณ หาทำกิจของพระ-

ญาณเหล่านั้นทุกอย่างไม่. จริงอยู่ พระสัพพัญญุตญาณนั้น หาเป็นญาณ
แนบสนิทอยู่ได้ไม่ หาเป็นอิทธิแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ไม่ หาเป็นมรรคทำ
กิเลสทั้งหลายให้สิ้นไปได้ไม่.
อนึ่ง ท่านปรวาทีพึงถูกถามอย่างนี้ว่า ธรรมดาพระทศพลญาณนี้
มีวิตกมีวิจาร ไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร หรือไม่มีวิตกไม่มีวิจาร เป็นกามาวจร
รูปาวจร หรืออรูปาวจร เป็นโลกิยะหรือโลกุตระ เมื่อรู้ ก็จักตอบว่า
พระญาณ 7 ตามลำดับ มีวิตกมีวิจาร จักตอบว่าพระญาณ 2 นอกจาก
พระญาณ 7 นั้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร. จักตอบว่าอาสวักขยญาณ มีวิตกมี
วิจารก็มี. จักตอบว่าพระญาณ 7 ตามลำดับก็เหมือนกัน เป็นกามาวจร
พระญาณ 2 นอกจากพระญาณ 7 นั้น เป็นรูปาวจร พระญาณหนึ่งสุดท้าย
เป็นโลกุตระ. ส่วนพระสัพพัญญุตญาณ มีวิตกมีวิจารเท่านั้น เป็นกามา-
วจรเท่านั้น เป็นโลกิยะเท่านั้น. ครั้นรู้การพรรณนาตามบทในพระญาณ
ของพระตถาคตนั้นอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพราะเหตุที่พระตถาคตทรงเห็น
ความไม่มีกิเลสเครื่องกั้นจิต อันเป็นฐานะและอฐานะ แห่งการบรรลุ
ธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ และไม่บรรลุของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ด้วยฐานาฐาน-
ญาณก่อนทีเดียว เพราะทรงเห็นสัมมาทิฏฐิเป็นต้นอันเป็นโลกิยะ และ
เพราะทรงเห็นความไม่มีนิยตมิจฉาทิฏฐิ ลำดับนั้นจึงทรงเห็นความไม่มี
วิบากเป็นเครื่องกั้นด้วยกรรมวิปากญาณ เพราะทรงเห็นปฏิสนธิของสัตว์
ที่มีไตรเหตุ ทรงเห็นความไม่มีกรรมเป็นเครื่องกั้น ด้วยสัพพัตถคามินี-
ปฏิปทาญาณ เพราะทรงเห็นความไม่มีอนันตริยกรรม เมื่อเป็นดังนั้น
จึงทรงเห็นความวิเศษแห่งจริยาของเหล่าสัตว์ที่ไม่มีเครื่องกั้น ด้วยอเนก-
ธาตุนานาธาตุญาณ เพื่อทรงแสดงธรรมที่อนุกูล เพราะทรงเห็นความ

ที่ธาตุต่างกัน ต่อนั้นก็ทรงเห็นอธิมุตติอัธยาศัยของสัตว์เหล่านั้น ด้วยนา-
นาธิมุตติกตญาณ เพื่อที่แม้ไม่ทรงยึดประโยค ก็ทรงแสดงธรรมด้วยอำนาจ
อธิมุตติ ทรงเห็นความที่สัตว์มีอินทรีย์ยิ่งและหย่อน ด้วยอินทริยปโร-
ปริยัติญาณ เพื่อทรงแสดงธรรมดาความสามารถและตามกำลัง ด้วย
อำนาจเหล่าสัตว์ที่ทรงเห็นอธิมุตติแล้วอย่างนั้น เพราะทรงเห็นอินทรีย์
ของสัตว์ทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้นแก่และอ่อน แต่สัตว์เหล่านั้นที่ทรง
กำหนดรู้ว่ามีอินทรีย์ยิ่งและหย่อนอย่างนั้น ถ้าอยู่ไกลแค่นั้น ก็จะเสด็จ
เข้าไปใกล้สัตว์เหล่านั้นอย่างฉับพลัน ด้วยความเศษแห่งฤทธิ์ เพราะ
ทรงชำนาญในฌานเป็นต้นด้วยฌานาทิญาณ ครั้นเสด็จเข้าไปใกล้แล้ว เมื่อ
ทรงเห็นภาระของสัตว์เหล่านั้นในชาติก่อนๆ ด้วยปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
เมื่อทรงเห็นความวิเศษแห่งสมบัติที่สัตว์บรรลุแล้ว ด้วยเจโตปริยญาณ
ที่พึงบรรลุ เพราะอานุภาพแห่งทิพยจักขุญาณจึงทรงแสดงธรรม เพื่อ
ปฏิปทาอันจะให้ถึงธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะ
เพราะเป็นผู้ปราศจากความลุ่มหลงแล้ว ด้วยอานุภาพแห่งอาสวักขยญาณ
ฉะนั้น พึงทราบตามลำดับนี้ว่า ตรัสพละทั้งหลาย ด้วยลำดับนี้.
จบอรรถกถาสีหสูตรที่ 1

2. อธิมุตติสูตร


ว่าด้วยกำลังของพระตถาคต 10 ประการ


[22] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีภาคภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์